การส่งเสริมเกษตรคืออะไร
การส่งเสริมการเกษตร
คือ
การเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเกษตรกรกับแหล่งวิทยาการเพื่อที่จะกระจายความรู้ใหม่ๆ
และหลักการที่ดีไปสู่เกษตรกร
และทำให้เกษตรกรเหล่านี้ได้นำวิทยาการแผนใหม่ไปใช้ในฟาร์มของตน
การส่งเสริมการเกษตร
เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการเรียนการสอนและการค้นคว้าวิจัย
กล่าวคือผลของการค้นคว้าวิจัยทางเกษตรกรรมจะไม่มีประโยชน์อย่างแท้จริง
ถ้าไม่ได้นำผลเหล่านี้ไปมอบให้แก่เกษตรกรซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติความสัมพนธ์ระหว่างการส่งเสริมเกษตรกับการค้นคว้าวิจัยพอสรุปเป็นแผนผังได้ดังนี้
ลักษณะของงานส่งเสริมการเกษตร
1. งานส่งเสริมการเกษตรเป็นแบบของการศึกษานอกโรงเรียนที่รัฐหรือเอกชน
ก็สามารถทำได้
2. การส่งเสริมการเกษตรเป็นการติดต่อสองทางกลับไปกลับมาระหว่าง
สถาบันกับเกษตรกร โดยมีเจ้าหน้าที่ส่งเสริมเป็นตัวก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
3. ควรเริ่มด้วยสภาพที่เป็นอยู่จริง
ๆ ของเกษตรกร
และเรื่องที่จะส่งเสริมนั้นจะต้องเป็นความต้องการที่แท้จริงของเขาด้วย
4. เกษตรกรต้องมีโอกาสเรียนรู้ด้วยการกระทำของจริง
5. เป็นการติดต่อกับคนในชนบทเป็นส่วนใหญ่
และเป็นการปฏิบัติงานกับสมาชิกทุกคนในครอบครัวโดยไม่จำกัดเพศและอายุ
6. ใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นเป็นจุดเริ่มต้น
7. มีวิธีปฏิบัติงานที่ต่อเนื่องกัน
8. มีวิธีดำเนินงานที่เป็นประชาธิปไตย
9. เป็นการสร้างผู้นำในท้องถิ่น
10. มีโครงการหรือแผนปฏิบัติงานที่แน่นอนและรู้ว่าจะประสานงานกับใครบ้าง
11. มีการติดตามผลงานหลังการปฏิบัติ
12. มีการรายงานผล
เพื่อวางแผนปรับปรุงในปีต่อ ๆ ไป
บทบาทและหน้าที่ของนักส่งเสริมหรือพัฒนากร
นักส่งเสริมเกษตรเป็นนักพัฒนาคนหนึ่ง
ที่จะช่วยให้เกษตรกรมีความรู้ใหม่ ๆ เพื่อไปช่วยในการเพิ่มผลผลิตของเขา
ดังนั้นนักส่งเสริมเกษตรจึงมีบทบาทดังนี้
1. เป็นผู้นำทางวิชาการ
และเป็นผู้ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
หมายความว่าเขาจะต้องมีความรู้และมีหูตากว้างไกล
2. เป็นผู้ประสานงานทางวิชาการและการปฏิบัติ
กล่าวคือนักส่งเสริมจะต้องประสาน เชื่อมโยงระหว่างสถาบัน(นักวิชาการ)
กับเกษตรกรผู้ปฏิบัติ
3. เป็นผู้แก้ปัญหาของชุมชน
กล่าวคือนักส่งเสริมซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับเกษตรกร ย่อมจะรู้ปัญหาของชุมชน
เขาจะต้องร่วมมือกันแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วย
4. เป็นผู้เชื่อมโยงบุคคลและองค์การต่างๆ
เข้าด้วยกัน กล่าวคือในการทำงานในท้องถิ่น เขาย่อมจะพบกับบุคคลหลายฝ่าย
นอกจากเขาจะเชื่อมโยงระหว่างนักวิชาการกับเกษตรกรแล้วเขาจะต้องประสานงานกับบุคคลและหน่วยงานอื่นๆ
ด้วย
ลักษณะของนักส่งเสริมที่พึงประสงค์
เนื่องจากงานส่งเสริมการเกษตรเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับบุคคลหลายประเภท
ใครที่จะเป็นนักส่งเสริมหรือพัฒนากรที่ดีควรจะได้พิจารณาตัวเอง
และเสริมสร้างให้มีคุณลักษณะดังนี้ไว้ด้วยคือ
1. ต้องมีความรู้ทั้งภาคทฤษฏีและภาคปฏิบัติในสาขาวิชาของตนอย่างดี
2. รู้หลักการถ่ายทอคความรู้
คือการฝึกอบรม การเรียน การสอน และการแนะนำต่างๆได้ดี
ดังนั้นจึงต้องรู้ในเรื่องหลักการติดต่ออสื่อสาร การใช้โสตทัศนูปกรณ์
หลักจิตวิทยาและสังคมชนบทด้วย
3. เป็นผู้ที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี
และชอบงานที่ให้บริการแก่ประชาชน
4. เป็นผู้ที่มีความคิดริเริ่ม
และชอบดัดแปลงแก้ไขสิ่งต่าง ๆ
5. เป็นผู้ที่นำเอาทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่นมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
เช่น สอนให้เกษตรกรทำปุ๋ยจากเศษพืชต่าง ๆ ทำแก๊สจากมูลสัตว์เป็นต้น
6. เป็นผู้ที่กระตุ้นให้เกษตรกรรู้จักปัญหา
และแก้ไขปัญหาโดยทั่วของเขาเอง หรือโดยการทำงานเป็นกลุ่ม
7. เป็นผู้สื่อสารระหว่างเกษตรกรในชุมชนกับโลกภายนอก
8. ต้องร่วมคิด
ร่วมทำ ร่วมสุข ร่วมทุกข์ กับเกษตรกรด้วยความสุจริตใจ อดทน และหนักแน่น
หลักของการติดต่อสื่อสาร
ในการส่งเสริมการเกษตร
นักส่งเสริมควรจะเข้าใจถึงองค์ประกอบของการติดต่อสื่อสารด้วย
เพื่อให้การทำงานของเขามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ในการสื่อความหมาย
เราจะพบแหล่งข่าวหรือผู้สื่อข่าว (source and Sender) และจะมีตัวข่าวหรือข้อมูล
(Message)ข่าวนี้จะผ่านไปตามวิถีหรือวิธีต่าง ๆ (channels)
เช่น น.ส.พ, วิทยุ ฯลฯ ไปยังผู้รับข่าว (Receiver)
นักส่งเสริมจึงเป็นทั้งแหล่งข่าวและผู้สื่อข่าวที่จะต้องเตรียมข่าวให้ถูกต้องเหมาะสม
ตรงกับความต้องการของผู้รับข่าว และใช้วิธีการที่ดีเพื่อให้ข่าวนั้น ๆ ได้ถึงไปยังเกษตรกรจำนวนมากโดยที่หวังว่าเกษตรกรจะคล้อยตามและยอมรับข่าว
(วิทยาการแผนใหม่) ไปปฏิบัติบ้าง
องค์ประกอบที่สำคัญมากอย่างหนึ่งข้างต้นนี้
ก็คือผู้รับข่าวหรือเกษตรกร ซึ่งนักส่งเสริมบางท่านอาจจะลืมพิจารณาไป เช่น
นักส่งเสริมบางคนเมื่อได้รับมอบหมายให้ไปบรรยาย เรื่องการปลูกมะพร้าว
หรือการติดตาเปลี่ยนยอด (ยางพารา) ให้เกษตรกรฟัง
เขาก็เตรียมเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อนไปบรรยายเป็นชั่วโมงๆ
โดยไม่คำนึงถึงตัวผู้ฟังเลย ก็ทำให้ผู้ฟังเบื่อ
และไม่ยอมรับเรื่องที่นักส่งเสริมพูด อย่างนี้ก็จะเกิดการสูญเปล่าขึ้นได้
นักส่งเสริมที่ดีต้องศึกษากลุ่มผู้ฟัง(ผู้รับข่าว) ในประเด็นต่อไปนี้
1. กลุ่มผู้ฟังเป็นใคร
ดูว่าเขาเป็นชาวสวนมะพร้าว หรือชาวสวนยาง เขาปลูกมะพร้าวหรือยางมานานกี่ปี
เขามีประสบการณ์ หรือความรู้เรื่องมะพร้าวหรือยางเพียงใด
เพื่อจะได้เตรียมเรื่องให้เหมาะสม
2. ปัญหาของผู้ฟัง
เช่นดูว่าชาวสวนยางกลุ่มนี้มีปัญหาอะไร มีปัญหาเรื่องโรคใบร่วง หรืออย่างไร
โรคนี้จะแก้ได้ด้วยวิธีใด วิธีนั้นๆ จะปฏิบัติได้ไหมในชุมชนนั้นๆ
3. ดูว่าเขามีความต้องการอะไร
สมมุติว่าเขาต้องการแก้ปัญหาเรื่องโรคใบร่วงของยาง
นักส่งเสริมจะต้องพูดถึงวิธีแก้ปัญหาโรคใบร่วง ไม่ใช่จะพูดอ้อนวอนให้เขาปลูกมะพร้าวถ่ายเดียว
4. ต้องศึกษาอายุของผู้ฟัง
เพราะการพูดให้เด็กและผู้ใหญ่ฟังไม่เหมือนกัน
5. ดูเพศของผู้ฟัง
เพราะเรื่องที่จะพูดให้ผู้หญิงหรือผู้ชายฟังอาจมีเกล็ดย่อยแตกต่างกัน
6. พิจารณาการศึกษาของผู้ฟัง
เพราะถ้าผู้ฟังมีการศึกษาต่ำนักส่งเสริมต้องใช้ภาษาง่าย ๆ
และต้องเตรียมอุปกรณ์อื่น ๆ มาเสนอประกอบด้วย
7. ดูลัทธิศาสนาของผู้ฟัง
เช่นถ้าผู้ฟังเป็นชาวไทยมุสลิมเราอาจต้องใช้ภาษา และเทคนิคที่ไม่เหมือนชาวไทยพุทธ
8. ดูจำนวนของผู้ฟัง
เพราะถ้าผู้ฟังน้อยอาจใช้วิธีสาธิตปฏิบัติ แต่ถ้าผู้ฟังมากอาจต้องใช้วิธีบรรยาย
9. ดูฐานะทางเศรษฐกิจของผู้ฟัง
ตามปกติเกษตรที่มีฐานะดีจะยอมรับวิทยาการแผนใหม่ได้ง่าย
การส่งเสริมก็สะดวกยิ่งขึ้น
10. ดูปัจจัยอื่นๆ
เช่น ภาวะการตลาด สภาพของดินฟ้าอากาศ ผู้นำในท้องถิ่น
และจำนวนของเจ้าหน้าที่ส่งเสริมเอง ว่าจะเอื้ออำนวยให้การส่งเสริมเรื่องนั้น ๆ
ได้ผลดีเพียงใด
นอกจากนี้นักส่งเสริมต้องเข้าใจจิตวิทยาและการเรียนรู้ของเกษตรกรด้วย
ตามปกติเราถือว่าการส่งเสริมการเกษตรเป็นการศึกษานอกโรงเรียน
หรือการส่งเสริมเกษตรเป็นแบบหนึ่งของการศึกษาผู้ใหญ่ (Adult
Education) ดังนั้นนักส่งเสริมที่ดีจะต้องคำนึงถึงหลักของการเรียนรู้
ของผู้ใหญ่ดังนี้ด้วย
หลักของการเรียนรู้และการสอนผู้ใหญ่
1. ผู้ใหญ่จะเรียนได้ดีเมื่อเขามีความต้องการที่จะเรียน
ดังนั้นนักส่งเสริมต้องคอยยั่วยุ และชี้ให้เขาเห็นประโยชน์ของการเรียน
และต้องให้ผู้ใหญ่เกิดความต้องการที่จะเรียนขึ้นเอง
อย่าบังคับให้เขาเรียนในสิ่งที่นักส่งเสริมคิคว่าดี
2. ผู้ใหญ่จะเรียนได้ดีและเรียนเฉพาะสิ่งที่เขามีความจำเป็น
ดังนั้นเรื่องที่จะเรียนจะต้องเป็นปัญหาของผู้เรียน
หากผู้เรียนยังแยกแยะปัญหาไม่ออก นักส่งเสริมก็ค้นหาปัญหา หรือทำการสำรวจหาปัญหาของเกษตรกรขึ้นมาเสียก่อน
3. ผู้ใหญ่จะเรียนได้ดีที่สุดเมื่อเขารู้จุดมุ่งหมายของการเรียนที่ชัดเจน
เช่นรู้ว่าเมื่อเรียน แล้วจะติดตาเขียวเป็น ตอนไก่เป็น
4. ผู้ใหญ่จะเรียนได้ดีที่สุด
เมื่อเขาได้รับผลตอบแทนหรือประโยชน์จากการเรียน เรื่องนั้น ๆ ในระยะเวลาอันสมควร
ดังนั้นนักส่งเสริมต้องหาวิธีการสอนที่สามารถจะโชว์ผลการเรียนให้เกษตรกรได้เห็นอย่างรวดเร็ว
5. ผู้ใหญ่เรียนรู้โดยการกระทำ
ดังนั้นนักส่งเสริมต้องเปิดโอกาสให้ผู้ใหญ่ได้ทดลอง ปฏิบัติมาก ๆ
จะเป็นวิธีการเรียนที่ได้ผลที่สุด
6. เรื่องหรือหัวข้อที่ผู้ใหญ่จะเรียนต้องเป็นปัญหาสำคัญ
ๆ และต้องเป็นความจริง
7. ผู้ใหญ่จะเรียนได้ดีเมื่อเรื่องนั้นสอดคล้องกับประสบการณ์ของเขา
เช่น ถ้าเขามีความรู้เรื่องการเพาะเห็ดฟางมาบ้าง
จะทำให้การเรียนเรื่องการเพาะเห็ดเปาฮื้อได้ผลดีขึ้น
8. ผู้ใหญ่จะเรียนได้อย่างดียิ่งในบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่เป็นกันเอง
ดังนั้นนักส่งเสริมจะต้องพยายามสร้างบรรยากาศของความเป็นพี่น้อง มิตรสหาย ฯลฯ
เพื่อให้ผู้ใหญ่เรียนได้ดีขึ้น
9. การสอนผู้ใหญ่ควรใช้วิธีการสอนหลายๆอย่าง
เช่นการบรรยายคู่กับสาธิต ใช้โสฅอุปกรณ์ประกอบ
แล้วให้ทดลองปฏิบัติด้วยตัวเกษตรกรเอง หากยังมีเวลาก็ควรพาไปทัศนาจรดูไร่นา
หรือกลุ่มเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จแล้ว
10. ผู้ใหญ่ต้องการแนะแนว
ต้องการคำแนะนำไม่ใช่คะแนนหรือการสอบไล่ ดังนั้น
นักส่งเสริมต้องคอยแนะนำและบอกให้เขาทราบว่า เขาทำถูกหรือผิดอย่างไร
ผู้ใหญ่ต้องการยกย่องชมเชย หากจำเป็นต้องตำหนิจะต้องทำกันสองต่อสองด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแบบญาติมิตร
เทคนิคในการส่งเสริมการเกษตร
สำหรับเทคนิคในการติดต่อแนะนำหรือการสอนประชาชนเป็นเรื่องที่นักส่งเสริมจะต้องสนใจให้มาก
เพระขณะนี้เราพบว่านักส่งเสริมเป็นจำนวนมากมีอายุน้อย
รุ่นราวคราวเดียวกับลูกหลานของเกษตรกร ดังนั้นการที่นักส่งเสริมผู้เยาว์จะไปทำงานกับชาวบ้านอาวุโส
หรือติดต่องาน กับส่วนราชการอื่น ๆ ควรใช้หลักมนุษยสัมพันธ์บางประการเช่น
1. เข้าเยี่ยมคำนับผู้บังคับบัญชาในท้องถิ่น
เช่นนายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือนายกเทศมนตรี
2. ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่ร่วมงานทราบตั้งแต่ชั้นผู้น้อยขึ้นไป
3. พบปะผู้นำในท้องถิ่น
พระสงฆ์ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กลุ่มเกษตรกร ชาวนา ชาวไร่ พ่อค้า ประชาชน
4. ทำความรู้จักกับสถาบันวิชาการในท้องถิ่น
เช่นโรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย ศูนย์วิจัย สถานีทดลองต่าง ๆ
5. พบปะรู้จักกับสื่อมวลชนในท้องถิ่น
เช่น นสพ.-วารสาร, วิทยุ, โทรทัศน์,
หนังตะลุง ลิเก ฯลฯ
6. ในการแนะนำหรือสอนผู้อาวุโส
ควรใช้หลักของการสอนพระคือ จงไหว้ หรือพนมมือไว้ข้างหน้า
พอจะสอนหรือขอร้องให้เขาทำอะไร ก็ไหว้เสียทีหนึ่งรับรอง ว่าได้ผลแน่
7. ในการพูดต่อหน้าชุมชน
หรือพบปะเกษตรกรเป็นรายบุคคลควร“ยิ้ม”ไว้เสมอ
รับรองว่าจะชนะใจคนแน่ ๆ
8. อย่ากินเหล้าเมายากับชาวบ้านจนเสียบุคคลิก
9. อย่าก่อเรื่องชู้สาว
หรือหลอกลวงลูกสาวชาวบ้าน
10. ควรฝึกอุดมการณ์
4ร และ 4ส ดังนี้คือ ริเริ่ม ร่วมคิด
ร่วมทำ ร่วมทุกข์ เสียสละ สุจริต เสมอภาค และสามัคคี
วิธีการส่งเสริมการเกษตร
เทคนิคและวิธีการส่งเสริมเกษตร
มีมากมายหลายชนิด นักส่งเสริมที่ดีจะต้องเข้าใจพื้นฐานของผู้ฟัง
และเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง หรือหลายวิธีอย่างถูกต้อง
ให้เหมาะกับการเรียนของผู้ฟัง วิธีการส่งเสริมพอจะแยกออกเป็นพวกใหญ่ ๆได้ 2
ประเภทคือ
ก. แบ่งตามลักษณะการใช้ (use) ได้เเก่
1. การติดต่อสื่อสารแบบรายบุคคล
(individual Contacts) เช่น
-เจ้าหน้าที่ไปพบเกษตรกรที่บ้าน
(Farm Visit)
-เกษตรกรไปพบเจ้าหน้าที่ที่สำนัก
(office Call)
-การติดต่อระหว่างกันทางโทรศัพท์
-การติดต่อกันทางจดหมาย
-การสาธิตให้ดูผล
2. การติดต่อสื่อสารแบบกลุ่ม
(Group Contacts) เช่น
-การสาธิตวิธีทำในเรื่องต่าง
ๆ
-การประชุมต่าง ๆ
-การบรรยาย
-การอบรมสัมมนา
-การประชุมอภิปราย
-การประชุมดูผลของการสาธิต
-การทัศนศึกษา
-การสอนการเรียนในโรงเรียน
-การบประชุมอื่น ๆ
3. การติดต่อสื่อสารแบบมวลชน
(Mass Contacts)
-การทำป้ายประกาศ
แจ้งความ
-เอกสารใบปลิว
-หนังสือเวียน
-หนังสือพิมพ์
วารสารต่าง ๆ
-ภาพโฆษณา ( Posters)
-การจัดนิทรรศการ
-วิทยุกระจายเสียง
-โทรทัศน์
ข. แบ่งตามรูปร่างของอุปกรณ์ (Form) ได้แก่
1. การติดต่อสื่อสารแบบใช้ข้อความ
(written Materials) เช่น
-ป้ายประกาศ
แจ้งความ
-เอกสารใบปลิว
-บทความทางหนังสือพิมพ์
-จดหมายส่วนตัว
-จดหมายเวียน
2. การติดต่อสื่อสารแบบใช้ภาษาพูด
(spoken Words) เช่น
- การประชุมสัมมนาต่าง
ๆ
-เจ้าหน้าที่ไปพบเกษตรกรที่บ้าน
-เกษตรกรไปพบเจ้าหน้าที่
-โทรศัพท์
-วิทยุ
3. การติดต่อสื่อสารแบบใช้โสตทัศนูปกรณ์
(Visuals) เช่น
-แผนภูมิ แผนผัง
ตารางต่าง ๆ
-ภาพยนตร์ สไลด์
ฟิล์มสตริฟ เทปโทรทัศน์ ฯลฯ
-การจัดนิทรรศการ
-ภาพโฆษณา
(โปสเตอร์)
-การให้ดูผลสาธิต
4. การติดต่อแบบใช้ภาษาพูดควบคู่กับโสตอุปกรณ์
เช่น
-การสาธิตวิธีทำ
-การประชุมให้ดูผลสาธิต
-การประชุมต่าง ๆ
ที่ใช้โสตอุปกรณ์ช่วย
-รายการทางโทรทัศน์ต่าง
ๆ
หมายเหตุ การส่งเสริมเกษตร
โดยวิธีใด ๆ ก็ตามดังกล่าวมาแล้วข้างต้นนี้
ยังมีผลทางอ้อมที่จะทำให้เกษตรกรข้างเคียงได้รับประโยชน์ไปด้วย กล่าวคือ
เกษตรกรข้างเคียงอาจจะยอมรับ ปฏิบัติวิทยาการแผนใหม่ด้วยทั้ง ๆ
ที่ตัวเองไม่ได้รับฟังจากปากของนักส่งเสริมโดยตรง แต่ทว่า
เขาเหล่านั้นได้สนทนากับเพื่อนเกษตรกรด้วยกัน
นักส่งเสริมเกษตรที่จะต้องเลือกใช้วิธีการส่งเสริมให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่อง
เวลาสถานที่ อุปกรณ์ กลุ่มเป้าหมาย โดยถือหลักง่าย ๆ ว่าถ้าคนฟังมีมาก
แต่มีเวลาน้อย เรื่องที่จะพูดก็ยาว จงใช้วิธีการบรรยาย แต่ถ้าคนฟังมีน้อย
และมีเวลามาก ควรใช้การส่งเสริมแบบกลุ่มเช่น ประชุมอภิปราย สาธิต ปฏิบัต ฝึกในไร่
ฯลฯ ในการที่นักส่งเสริมจะเลือกใช้วิธีหนึ่งวิธีใด
ก็ขอให้นึกถึงหลักความจริงเกี่ยวกับการจำของมนุษย์ว่า
การอ่าน
เพียงครั้งเดียว มนุษย์จะจำได้ 10%
การฟัง
เพียงครั้งเดียว มนุษย์จะจำได้ 20%
การเห็น
เพียงครั้งเดียว มนุษย์จะจำได้ 30%
การฟังและเห็นคู่กัน
มนุษย์จะจำได้ 60%
หลักเกณฑ์ในการเลือกใช้วิธีส่งเสริม
ก. ดูนโยบายทั่ว ๆ ไปของราชการ เช่น ความจำเป็นรีบด่วนของเรื่องที่จะ
ส่งเสริม ปัญหาของเกษตรกร จำนวนของเกษตรกร จำนวนของเจ้าหน้าที่
เครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น ในระหว่างเดือนมีนาคม
เป็นระยะที่หนูออกทำลายข้าวในนาอย่างหนัก การส่งเสริมแนะนำเรื่องการปราบหนูนา
อาจจะขอให้ระดมกำลังกันทำอย่างรวดเร็ว โดยใช้การประชุม สาธิต การแถลงข่าวทางน.ส.พ.
วิทยุ โทรทัศน์ ตลอดจนการใช้โสตอุปกรณ์ช่วยด้วย
ข. เลือกวิธีส่งเสริมโดยดูกลุ่มเป้าหมาย เช่น
1. แม่บ้านที่มีลูกมาก
งานยุ่งย่อมจะไม่มีเวลาไปนั่งประชุม ดังนั้นจึงควรใช้จดหมายเวียน เอกสารสิ่งพิมพ์
วิทยุโทรทัศน์ต่าง ๆ
2. ชนกลุ่มน้อย
เช่นชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ตลอดจนชาวไทยมุสลิม
ที่มีวัฒนธรรมแตกต่างออกไปอาจต้องใช้ภาษาและผู้นำของเขาเอง
3. เกษตรกรที่มีการศึกษาต่ำยากจนและอยู่ในที่ทุรกันดาร
ควรใช้วิธีการไปเยี่ยมเยียน การให้ดูผลสาธิต และการใช้เอกสารสิ่งพิมพ์ที่ง่าย ๆ
4. วิทยุ โทรทัศน์
น.ส.พ.และการจัดนิทรรศการ เหมาะสำหรับเกษตรกรที่ทำเป็นงานอดิเรก และผู้ที่อยู่ใกล้
ๆ หรือผู้ที่อยู่ในเมือง
5. คนที่มีการศึกษาดี
และรักก้าวหน้า ควรใช้วิธีการประชุมอภิปราย การสาธิตวิธีทำและเอกสารต่าง ๆ
ค. เลือกวิธีส่งเสริมโดยดูเนื้อหาของเรื่องที่จะส่งเสริม เช่น
1. ถ้าวิธีใหม่ที่กำลังส่งเสริมนั้นเป็นวิธีที่ง่ายหรือคล้ายๆ
กับของเก่า ควรใช้น.ส.พ. วิทยุ จดหมายเวียนก็ได้ แต่ถ้าเรื่องนั้นยากซับซ้อน
ควรใช้การติดต่อเป็นราย บุคคลหรือเอกสารสิ่งพิมพ์
2. ถ้าเรื่องนั้นเป็นของใหม่
และเพิ่งเริ่มทำการส่งเสริมเป็นครั้งแรก
ควรแนะนำส่งเสริมโดยใช้การสาธิตวิธีการเยี่ยมเยียนที่บ้านเกษตรกร
และการให้ดูผลสาธิต
3. ถ้าเนื้อเรื่องนั้นต้องการให้เกิดทักษะในตัวผู้ชม
ก็ควรใช้การสาธิตวิธี และการแสดงทางโทรทัศน์
ง. เลือกวิธีส่งเสริมโดยดูวิธีการสอน
1. การที่นักส่งเสริมไปเยี่ยมบ้านของเกษตรกร
จะสร้างความสัมพันธ์อย่างดีเยี่ยมทำให้ เจ้าหน้าที่รู้ปัญหาของเกษตรกร
ควรใช้กับเกษตรกรที่หัวดื้อ หรือไม่ค่อยสนใจต่อของใหม่ ๆ
2. เมื่อเกษตรกรไปเยี่ยมเจ้าหน้าที่
จะประหยัดเงินของทางราชการ แต่เรื่องนี้ต้องกระตุ้นให้เขาปฏิบัติ
เพราะปกติเกษตรกรจะไม่ค่อยไปหาเจ้าหน้าที่
3. การติดต่อทางโทรศัพท์
สะดวกดีให้ประโยชน์เหมือนการเยี่ยมเยียน แต่ทว่าใช้กันน้อย
เพราะเกษตรกรไม่มีโทรศัพท์
4. การติดต่อทางจดหมายอาจใช้ได้
ถ้าผู้รับผู้ส่งเป็นคนขยันเขียน
5. การสาธิตวิธี
มีประโยชน์ที่สุดในการสอนทักษะภาคปฏิบัติ
6. การสาธิตผลลัพธ์
มีประโยชน์ในการอวดผลสำเร็จให้เกษตรกรเชื่อถือ แต่ทว่าลงทุนแพงมาก
7. การประชุมต่างๆ
ช่วยในการกระจายข่าวโดยการบรรยายและอภิปราย สมาชิกได้ เรียนพร้อมๆ กัน
และลดต้นทุนของการไปเยี่ยมเป็นรายตัว
8. โสตอุปกรณ์
ช่วยในการจำ เสริมสร้างความเข้าใจ ดึงดูดผู้ฟัง และทำให้การเสนอเรื่องเป็นขั้นตอนดี
9. เอกสารสิ่งพิมพ์
ป้ายประกาศต่าง ๆ ช่วยแสดงตัวเลขข้อมูลต่าง ๆ เพื่อการอ้างอิง
เหมาะที่จะใช้เสริมพวกภาพยนตร์ สไลด์ วิทยุและโทรทัศน์
10. บทความในหนังสือพิมพ์ดีเพราะถึงชนกลุ่มใหญ่
ลงทุนไม่แพง
11. จดหมายเวียน ช่วยในการส่งข่าวเฉพาะเรื่องไปยังเกษตรกรเฉพาะคน
12. วิทยุ
เป็นวิธีส่งเสริมที่รวดเร็วที่สุด ใช้เพื่อการประกาศข่าวสารสำหรับชนหมู่มาก
และใช้ในการออกคำสั่งคำเตือน ข่าวโรคระบาด อุทกภัยวาตะภัยต่าง ๆ
13. โทรทัศน์
ทำให้ผู้ชมได้เห็นไอ้ฟังสิ่งของที่จะแสดง เหมาะสมกับชาวเมือง
แต่อาจไม่ถึงคนในชนบทไกล ๆ
14. งานนิทรรศการและงานออนร้าน
ช่วยในการเผยแพร่โฆษณา มากกว่าที่จะสอนวิทยาการแผนใหม่แก่ผู้ชม
ประสิทธิภาพของวิธีต่าง ๆ
จากผลของการศึกษาเรื่องประสิทธิภาพของวิธีการส่งเสริมต่างๆ
เหล่านี้ในสหรัฐอเมริกา พบว่าการส่งเสริมแบบรายบุคคลจะทำให้เกษตรกรปฏิบัติตาม 25%
การส่งเสริมแบบกลุ่มเกษตรกรจะปฏิบัติตาม 33% แต่เกษตรกรเพียง
23% จะปฏิบัติ่ตามคำแนะนำจากสื่อมวลชน อย่างไรก็ดีเกษตรกร 19%
จะปฏิบัติตามเพื่อนบ้านข้างเคียง
เมื่อพูดถึงวิธีต่าง
ๆ โดยเฉพาะแล้ว จะพบว่า การสาธิตวิธีทำ (Method Demon stration) เป็นวิธีที่ดีที่สุด ส่วนการใช้โทรศัพฑ์เป็นวิธีที่ไม่ดีเลย
ดังตารางต่อไปนี้
วิธีการส่งเสริม
% เกษตรกรปฏิบัติตาม
1. การสาธิตวิธี
18.2
2. การประชุมต่างๆ
14.6
3. เจ้าหน้าที่ไปเยี่ยมเกษตรกร
10.8
4. บทความ สารคดีใน
น.ส.พ.
9.7
5. ป้ายประกาศ แจ้งความ
8.5
6. เกษตรกรไปเยี่ยมเจ้าหน้าที่
6.5
7. การสาธิตผล
6.1
8. จดหมายเวียน
3.0
9. วิทยุ
1.2
10. การโต้ตอบทางจดหมาย
1.1
11. การจัดนิทรรศการและปิดโปสเตอร์ต่างๆ
0.9
12. การติดต่อทางโทรศัพท์
0.3
13. ผลทางอ้อม
(คือเกษตรกรสนทนาและเลียนแบบกัน) 19.0
รวม
100.0%
การเริ่มต้นโครงการส่งเสริมการเกษตร
งานส่งเสริมต้องเริ่มต้นจากปัญหา
และความต้องการของเกษตรกรดังนั้นในการส่งเสริมในเรื่องใด ๆควรพิจารณาหลักการดังนี้
1. ระบุปัญหาต่างๆ
ให้หมดแล้วจัดอันดับหาตัวปัญหาที่สำคัญที่สุด ควรเริ่มจากปัญหาที่ง่ายก่อน
2. เลือกสถานที่ดำเนินการ
เพื่อจะอวดผลงานของการแก้ปัญหานั้นๆ
3. วางแผนแก้ปัญหานั้น
ๆ
-ติดต่อผู้นำในท้องถิ่น
-ช่วยชาวบ้านให้เขาช่วยตัวเอง
แนะนำตามหลักวิชาการ
-ไม่มีการบังคับ
ดำเนินตามหลักประชาธิปไตย
-ทำแผนปฏิบัติงาน
และเริ่มแก้ปัญหา
4. ทำรายงานและประเมินผล
หาข้อบกพร่องเพื่อการปรับปรุงโครงการต่อไป
การยอมรับวิทยาการแผนใหม่โดยเกษตรกร
กระบวนหรือวิธีการยอมรับวิทยาการแผนใหม่โดยเกษตรกรเป็นเป้าหมายอันสุดท้าย
ที่นักส่งเสริมการเกษตรต้องการจะเห็นการยอมรับวิทยาการแผนใหม่ของเกษตรกรมีอยู่ 5
ขั้นคือ
1. ขั้นเรียนรู้ถึงวิทยาการใหม่
( Awareness ) ในระยะนี้นักส่งเสริมควรใช้สื่อมวลชนให้มาก
ตลอดจนเพื่อนบ้านข้างเคียง เจ้าหน้าที่และคนเดินตลาด
เพื่อกระตุ้นให้ตื่นตัวและรู้จักกับของใหม่ ๆ
2. ขั้นเกิดความสนใจ
(interest) ในระยะนี้เกษตรกรจะมีความสนใจในวิทยาการแล้ว
และพยายามจะหาข่าวเพิ่มเติม ดังนั้นนักส่งเสริมควรใช้สื่อสารแบบมวลชนให้เพื่อน
เจ้าหนัาที่ และคนเดินตลาดไปกระตุ้นให้เกิดความสนใจยิ่งขึ้น
3. ขั้นไตร่ตรองและประเมินผล
(Evaluation) ในระยะนี้เกษตรกรจะชั่งใจไตร่ตรองดูว่าวิทยาการใหม่
ๆ นี้จะดีหรือเลวอย่างไร ในช่วงนี้นักส่งเสริมควรใช้เพื่อนบ้าน
และเจ้าหน้าที่ตลอดจนคนเดินตลาดไปติดต่อกระตุ้นให้เกษตรกรเห็นชอบในวิทยาการใหม่ ๆ
4. ขั้นทดลอง (Trial)
ในระยะนี้เกษตรกรจะทดลองทำดูเพียงเล็กน้อย
หากเพื่อนฝูงว่าดีก็จะทำตามมากขึ้น ดังนั้นเราควรส่งเพื่อนของเขา หรือเจ้าหน้าที่
ตลอดจนคนเดินตลาดไปสนับสนุน เพื่อกระตุ้นให้เขายอมรับของใหม่ ๆ
5. ขั้นยอมรับปฏิบัติตาม
(Adoption) เป็นระยะที่เกษตรกรมั่นใจแล้วว่า วิทยาการแผนใหม่นี้ดีแน่
เขาก็จะยอมรับและปฏิบัติตาม เพื่อนและนักส่งเสริมตลอดจนสื่อมวลชน
และคนเดินตลาดก็ยังมีความสำคัญมาก ที่จะกระตุ้นให้เขาปฏิบัติตามคำแนะนำใหม่ ๆ นี้
ตามปรกติในกระบวนการยอมรับวิทยาการแผนใหม่นี้จะมีเกษ่ตรกรอยู่
6 กลุ่มด้วยกันคือ
ก.
พวกหัวใจสู้ ซึ่งจะยอมรับและปฏิบัติทันที มีอยู่ 2.5%
ข.
พวกขอดูท่าที ซึ่งรีรอจะยอมรับแต่ไม่กล้าเสี่ยง มีอยู่ 13.5%
ค.
พวกเบิ่งตาลังเล เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่มั่นใจ มีอยู่ 34.0%
ง.
พวกหันเหหัวดื้อ ไม่แน่ใจ หัวดื้อและเฉย ๆ มีอยู่ 34.0%
จ.
พวกงอมือ จั่บเจ่า ไม่ค่อยมีความรู้ เฉื่อยชา มีอยู่ 13.5%
ฉ.
พวกไม่เอาไหนเลย การศึกษาต่ำ ยากจนเฉื่อยชา มีอยู่ 2.5%
ดังนั้นในการส่งเสริมเกษตร
นักส่งเสริมต้องพยายามค้นหาผู้นำการเปลี่ยนแปลง และพวกหัวไวใจสู้ให้พบ
แล้วใช้บุคคลเหล่านี้เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงในชุมชนนั้น ๆ
ปัจจัยที่ควบคุมการยอมรับวิทยาการแผนใหม่
ก.
นักส่งเสริมจะทำให้เกษตรกรยอมรับวิทยาการแผนใหม่ได้เร็วถ้านักส่งเสริมมีลักษณะดังนี้
-มีความรู้จริง
ทั้งภาคทฤษฏีและภาคปฏิบัติ
-มีความสามารถในการถ่ายทอด
-มีการวางตัวดี
ท่าทาง และทัศนคฅิต่องานดี
-เลือกเครื่องมือสื่อสารดี
ข.
เกษตรกรจะยอมรับวิทยาการแผนใหม่ได้เร็วขึ้น ถ้าเกษ่ตรกรมีลักษณะดังนี้
-มีอายุน้อย
เป็นคนทันสมัย
-มีการศึกษาดี
และมีฐานะทางเศรษฐกิจมั่นคง
-มีการติดต่อกับเจ้าหน้าที่เกษตรอยู่เสมอ
-มีเนื้อที่ทำการเกษตรมาก
-มีความสามารถในการรับข่าวดี
-มีเพื่อนข้างเคียงซึ่งรักความก้าวหน้า
ค.
เกษตรกรจะยอมรับวิทยาการแผนใหม่ได้เร็ว ถ้าวิทยาการนั้นมักษณะดังนี้
-ไม่ขัดต่อสิ่งที่มีอยู่ในชุมชน
-เหมาะกับสังคมและความต้องการของเกษตรกร
-ปฏิบัติง่ายเป็นประจำวัน
-ให้ความพอใจและมีผลตอบแทนสูง
ง.
เกษตรกรจะยอมรับวิทยาการแผนใหม่ได้เร็ว ถ้าวิธีการส่งเสริมมีลักษณะดังนี้
-เหมาะกับบุคคลและโอกาส
-เป็นการสาธิต
และปฏิบัติ
-ใช้เทคนิคหลายอย่างประกอบกัน
จ.
เกษตรกรจะยอมรับวิทยาการแผนใหม่ได้เร็ว ถ้าสิ่งแวดล้อมอื่นๆ สนับสนุนดีเช่น
-มีสถาบันการเงินพอเพียง
เช่น ธกส. ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพฯ
-มีสถาบันตลาดดี
เช่น สหกรณ์ องค์การตลาดฯ
-มีสถานีทดลอง
ศูนย์วิจัย โรงเรียนและมหาวิทยาลัยอยู่ใกล้ ๆ
อ้างอิงจากเว็ปไซต์ : http://www.thaikasetsart.com/การส่งเสริมการเกษตร/
การพัฒนาทางด้านการเกษตร
"...เศรษฐกิจของเราขึ้นอยู่กับการเกษตรมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
รายได้ของประเทศที่ได้มาใช้สร้างความเจริญด้านต่างๆ
เป็นรายได้จากการเกษตรเป็นส่วนใหญ่ จึงอาจกล่าวได้ว่า
ความเจริญของประเทศต้องอาศัยความเจริญของการเกษตรเป็นสำคัญ และงานทุกๆ ฝ่ายจะดำเนินก้าวหน้าไปได้ก็เพราะการเกษตรของเราเจริญ..."
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร และอนุปริญญาบัตร
ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
๙ กรกฎาคม ๒๕๐๗
ความทั่วไป
"ความเจริญของประเทศ
ต้องอาศัยความเจริญของภาคเกษตรเป็นสำคัญ"
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ข้างต้นนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความสำคัญของภาคเกษตรที่มีต่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทย
เกษตรกรรมเป็นอาชีพพื้นฐานของคนในสังคมไทยทุกยุคทุกสมัย
ประชากรประมาณสองในสามอยู่ในภาคเกษตร การพัฒนาการเกษตรเป็นเป้าหมายที่สำคัญของการพัฒนาประเทศมาตลอด
สาขาเกษตรเป็นสาขาที่ได้รับความสำคัญอย่างสูงในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทุกฉบับ
อย่างไรก็ตาม
ถึงแม้ว่าผลจากการพัฒนาการเกษตรที่ผ่านมาจะทำให้ภาคเกษตรได้เจริญก้าวหน้าไปอย่างมาก
แต่เกษตรกรรมก็ยังเป็นสาขาการผลิตที่มีปัญหาต่างๆ อีกหลายประการ
ปัญหาหลักประการหนึ่งของการพัฒนาการเกษตรในปัจจุบัน
คือเรื่องประสิทธิภาพการผลิตที่โยงไปถึงเรื่องการตลาด
แม้ว่าบางพื้นที่ถือเป็นเขตเกษตรก้าวหน้า อาจไม่มีปัญหาในเรื่องนี้
แต่สำหรับพื้นที่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรนั้น
ส่วนใหญ่มักเป็นเขตเกษตรล้าหลังที่อาศัยการผลิตแบบดั้งเดิม คือ เพาะปลูกปีละครั้ง
โดยอาศัยน้ำฝน ประสิทธิภาพการผลิตต่ำ ผลิตได้ไม่พอกิน
บางพื้นที่ที่พ้นจากลักษณะเขตล้าหลังและพอจะทำการผลิตเพื่อการค้าได้บ้าง
แต่เกษตรกรก็ยังขาดการรวมตัวกันเป็นกลุ่ม
ตลอดจนความรู้เชิงพาณิชย์ทำให้เป็นฝ่ายที่ถูกเอารัดเอาเปรียบในการติดต่อกับพ่อค้าภายใต้กลไกตลาดปัจจุบัน
ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ทำให้เกษตรกรมีรายได้ต่ำเป็นหนี้เป็นสินและยากจน
นอกจากนั้น
การเร่งรัดพัฒนาในช่วงที่ผ่านมา ได้ทำลายสภาพความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติลงไปเป็นอันมาก
ที่ดิน แหล่งน้ำ ป่าไม้ ตลอดจนทรัพยากรประมง
มีลักษณะเสื่อมโทรมไม่อยู่ในฐานะที่จะเป็นฐานให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่องเช่นในอดีต
สำหรับการช่วยเหลือจากทางฝ่ายรัฐบาลนั้น
ก็ยังมีอุปสรรคและข้อขัดข้องอยู่อีกมาก
ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศโดยส่วนรวมที่มีอยู่หลายสิ่งหลายอย่าง
ทำให้งบประมาณที่ใช้สำหรับการพัฒนามีจำกัด และต้องค่อยๆ ทำไปตามลำดับความสำคัญ
รัฐจึงไม่สามารถเพิ่มบริการที่จะมีผลต่อการพัฒนาการเกษตรได้อย่างกว้างขวาง
และขาดการสนับสนุนอย่างเพียงพอต่อการวิจัยและการค้นคว้าทดลอง
ซึ่งถือว่าเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาการเกษตร
สิ่งเหล่านี้ย่อมไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาการเกษตรและเกษตรกรโดยทั่วไป
แนวพระราชดำริเกี่ยวกับการพัฒนาการเกษตร
แนวพระราชดำริเกี่ยวกับการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตทางการเกษตรที่สำคัญคือ
การที่ทรงเน้นในเรื่องของการค้นคว้าทดลอง และวิจัยหาพันธุ์พืชต่างๆ ใหม่ๆ
ทั้งพืชเศรษฐกิจ เช่น หม่อนไหม ยางพารา ฯลฯ ทั้งพืชเพื่อการปรับปรุงบำรุงดิน
และพืชสมุนไพร ตลอดจนการศึกษาเกี่ยวกับแมลงศัตรูพืช ทั้งนี้
รวมทั้งพันธุ์สัตว์ต่างๆ ที่เหมาะสม เช่น โค กระบือ แพะ แกะ พันธุ์ปลา ฯลฯ
และสัตว์ปีกทั้งหลายด้วย
เพื่อแนะนำให้เกษตรกรนำไปปฏิบัติได้ด้วยราคาถูกและใช้เทคโนโลยีที่ง่าย
และไม่สลับซับซ้อน ซึ่งเกษตรกรจะสามารถรับไปดำเนินการเองได้ และที่สำคัญคือ
พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ หรือเทคนิควิธีการดูแลต่างๆ นั้น จะต้องเหมาะสมกับสภาพสังคมและสภาพแวดล้อมของท้องถิ่นนั้นๆ
ด้วย
อย่างไรก็ตาม
ทรงมีพระราชประสงค์เป็นประการแรกคือ
การทำให้เกษตรกรสามารถพึ่งตนเองได้ โดยเฉพาะในด้านอาหารก่อนเป็นอันดับแรก
เช่น ข้าว พืชผัก ผลไม้ ฯลฯ
แนวทางที่สำคัญอีกประการหนึ่ง
คือ
การที่ทรงพยายามเน้น คือ
การที่ทรงพยายามเน้นมิให้เกษตรกรพึ่งพาอยู่กับพืชเกษตรแต่เพียงอย่างเดียว
เพราะจะเกิดความเสียหายง่าย
เนื่องจากความแปรปรวนของตลาดและความไม่แน่นอนของธรรมชาติ ทางออกคือ
เกษตรกรควรจะต้องมีรายได้เพิ่มขึ้นนอกเหนือไปจากภาคเกษตร เช่น
การอุตสาหกรรมในครัวเรือน ดังเช่นในโครงการส่งเสริมศิลปาชีพพิเศษที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินีนาถ ทรงดำเนินงานสนับสนุนงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในปัจจุบัน
นอกจากนั้น ทรงเห็นว่า
การพัฒนาฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติจะมีผลโดยตรงต่อการพัฒนาการเกษตร
จึงทรงมุ่งที่จะให้มีการพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
เพื่อเป็นรากฐานของการพัฒนาประเทศในระยะยาว
ทรงสนพระราชหฤทัยอย่างยิ่งต่อการที่จะทะนุบำรุง
ปรับปรุงสหภาพของทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นป่าไม้ ที่ดิน แหล่งน้ำ ฯลฯ
ให้อยู่ในสภาพที่จะมีผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอย่างมากที่สุด
จากแนวทางและเป้าหมายต่างๆ
ดังกล่าว
มีแนวพระราชดำริที่ถือเป็นหลักเกณฑ์หรือเทคนิควิธีการที่จะบรรลุถึงเป้าหมายนั้นหลายประการ
ประการแรก ทรงเห็นว่า
การพัฒนาการเกษตรที่จะได้ผลจริงจังนั้น จะต้องลงมือทดลองค้นคว้า
ต้องปฏิบัติอย่างค่อยเป็นค่อยไป มีพระราชดำรัสว่า
"...เกษตรกรรมนี้
หรือความเป็นอยู่ของเกษตรกรนั้น ขอให้ปฏิบัติ
ไม่ใช่ถือตำราเป็นสำคัญอย่างเดียว..."
และเป็นที่ทราบกันดีว่า
โดยส่วนพระองค์เองก็ได้ทรงทำให้อาณาเขตพระราชฐานสวนจิตรลดาบางส่วนกลายเป็นสถานีค้นคว้า
ทดลอง ทางการเกษตรในทุกๆ ด้านมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505
สำหรับการค้นคว้าทดลองนั้น
ได้ทรงเน้นให้มีทั้งก่อนการผลิตแหละหลังจากผลิตแล้ว คือ พิจารณาดูตั้งแต่เรื่องความเหมาะสมของพืช
ความเหมาะสมของดิน พืชอย่างใดจะเหมาะสมกับดินประเภทใด
รวมทั้งการค้นคว้าเกี่ยวกับความต้องการของตลาด คือ การปลูกพืชที่ตลาดต้องการ
ผลิตออกมาแล้วมีที่ขาย ส่วนการค้นคว้าวิจัยหลังการผลิตคือ
การดูเรื่องความสอดคล้องของตลาด เรื่องคุณภาพของผลผลิต
หรือทำอย่างไรจึงจะให้เกษตรกรได้มีความรู้เบื้องต้นในด้านการบัญชีและธุรกิจการเกษตรในลักษณะที่พอจะทำธุรกิจแบบพึ่งตนเองได้
สำหรับในเรื่องนี้ทรงเห็นว่า
การรวมกลุ่มกันของเกษตรกรเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่จะช่วยได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม
ในเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตนั้น
ทรงให้ความสำคัญกับการพัฒนาเรื่องคุณภาพชีวิตของเกษตรกรในระยะยาว
พระราชประสงค์ของพระองค์ที่จะให้เกษตรกรได้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป
และมีสภาพชีวิตที่มีความสุข ไม่เคร่งเครียดกับการเร่งรัดให้เกิดความเจริญโดยรวดเร็วนั้น
นอกเหนือจากเรื่องที่ทรงเน้นในเรื่องการผลิตอาหารให้เพียงพอแล้ว
จะเห็นได้ชัดเจนจากพระราชดำรัสที่ว่า
"...ไม่จำเป็นต้องส่งเสริมผลผลิตให้ได้ปริมาณสูงสุดแต่เพียงอย่างเดียว
เพราะเป็นการสิ้นเปลืองค่าโสหุ้ย และทำลายคุณภาพดิน แต่ควรศึกษาสภาวะการตลาดการเกษตร
ตลอดจนการควบคุมราคาผลิตผลไม่ให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน.."
เทคนิควิธีการในการพัฒนาการเกษตรของพระองค์อีกประการหนึ่ง คือ
การที่ทรงเน้นการใช้ประโยชน์ หรือการมองหาประโยชน์จากธรรมชาติให้มากที่สุด เช่น
การใช้ที่ดินที่ปล่อยทิ้งไว้เปล่าๆ ให้เป็นประโยชน์
หรือการมองหาประโยชน์จากธรรมชิตในสิ่งที่ผู้อื่นนึกไม่ถึง เช่น
ครั้งหนึ่งทรงสนับสนุนให้มีการทำครั่งจากต้นจามจุรีที่ขึ้นอยู่ริมทางหลวงที่จะเสด็จฯ
ไปพระราชวังไกลกังวล มีพระราชดำรัสว่า " เกิดจากความคิดที่จะเอาต้นก้ามปูมาทำให้ประชาชนมีงานทำ
แล้วรวมเป็นกลุ่ม "การมุ่งใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ
ยังมีลักษณะสอดคล้องกับวิธีการที่สำคัญของพระองค์อีกประการหนึ่งคือ การประหยัด
โดยที่ทรงเน้นความจำเป็นที่จะลดค่าใช้จ่ายในการทำมาหากินของเกษตรกรลงให้เหลือน้อยที่สุด
โดยอาศัยพึ่งพิงธรรมชาติเป็นปัจจัยสำคัญ
วิธีการของพระองค์มีตั้งแต่การสนับสนุนให้เกษตรกรใช้วัวควายในการทำนามากกว่าใช้เครื่องจักร
การปลูกพืชหมุนเวียน โดยเฉพาะพืชตระกูลถั่ว
เพื่อลดค่าใช้จ่ายเรื่องปุ๋ยหรือกรณีที่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยก็ทรงสนับสนุนให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยธรรมชาติแทนปุ๋ยเคมีซึ่งมีราคาแพง
และมีผลกระทบต่อสภาพและคุณภาพดินในระยะยาว นอกจากนั้น
ยังทรงแนะนำในเรื่องการผลิตก๊าซชีวภาพอันจะมีผลดีทั้งในด้านเชื้อเพลิงและปุ๋ย
รวมทั้งได้ทรงเน้นอยู่เสมอที่จะให้เกษตรกรมีรายได้เสริมหรือรายได้นอกการเกษตร
จากการหาวัสดุธรรมชาติในท้องถิ่น เช่น ไผ่ ย่านลิเพา ฯลฯ มาใช้ให้เกิดประโยชน์
เช่น ในการจักสานเพื่อเป็นอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ของตน
ในกรณีของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
ทรงให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์หรือการอยู่ร่วมกันระหว่างธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม
และมนุษย์ อย่างมาก โครงการพระราชดำริในด้านการเกษตรหลายโครงการสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ว่านั้นเป็นอย่างดี
โดยที่โครงการนั้นจะมีทั้งการพัฒนาแหล่งน้ำ มีการปลูกป่าควบคู่กันไปด้วยเสมอ
และป่าที่ปลูกนั้นจะมีทั้งป่าไม้ยืนต้น ป่าไม้ผล และป่าไม้ใช้สอย
เพื่อให้ราษฎรมีผลไม้บริโภคและมีไม้ใช้สอยตามความจำเป็น และยังเป็นการปลูกป่าเพื่อช่วยยึดหน้าดินไม่ให้น้ำเซาะพังทลาย
และเพื่อให้เกิดความชุ่มชื้นของดินและอากาศในบริเวณนั้นๆ ด้วย
ในกรณีของพื้นที่สูงทางตอนเหนือของประเทศ ก็ทรงเห็นว่า ชาวไทยภูเขาเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการดำเนินการเพื่อรักษาแหล่งต้นน้ำลำธารสำคัญ วิธีการที่สำคัญคือ ทรงพยายามเข้าถึงชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ จะเห็นว่า แม้พื้นที่จะทุรกันดารและยากแสนลำบาก พระองค์ก็จะเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมเยียน ทรงดำเนินการทุกวิถีทางที่จะเปลี่ยนแปลงแบบแผนการทำมาหากินของชาวไทยภูเขาจากการตัดไม้ทำลายป่า โดยทรงแนะนำและส่งเสริมการเกษตรที่สูงโดยเฉพาะพืชเศรษฐกิจที่มีราคาดี และเหมาะกับสภาพภูมิประเทศของภาคเหนือ ทั้งนี้เพื่อให้ชาวไทยภูเขามีรายได้สูง โดยไม่จำเป็นต้องเคลื่อนย้าย ถางป่า ทำไร่เลื่อนลอย หรือปลูกฝิ่น ผลการดำเนินงานประสบความสำเร็จจนชาวไทยภูเขาเรียกพระองค์และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า "เจ้าพ่อหลวงและเจ้าแม่หลวง" อาจกล่าวได้ว่า ความสำเร็จของวิธีการดังกล่าวนี้นอกจากจะมีผลต่อเรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมากแล้ว ยังมีผลต่อความมั่นคงของชาติอีกทางหนึ่งด้วย
ในกรณีของพื้นที่สูงทางตอนเหนือของประเทศ ก็ทรงเห็นว่า ชาวไทยภูเขาเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการดำเนินการเพื่อรักษาแหล่งต้นน้ำลำธารสำคัญ วิธีการที่สำคัญคือ ทรงพยายามเข้าถึงชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ จะเห็นว่า แม้พื้นที่จะทุรกันดารและยากแสนลำบาก พระองค์ก็จะเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมเยียน ทรงดำเนินการทุกวิถีทางที่จะเปลี่ยนแปลงแบบแผนการทำมาหากินของชาวไทยภูเขาจากการตัดไม้ทำลายป่า โดยทรงแนะนำและส่งเสริมการเกษตรที่สูงโดยเฉพาะพืชเศรษฐกิจที่มีราคาดี และเหมาะกับสภาพภูมิประเทศของภาคเหนือ ทั้งนี้เพื่อให้ชาวไทยภูเขามีรายได้สูง โดยไม่จำเป็นต้องเคลื่อนย้าย ถางป่า ทำไร่เลื่อนลอย หรือปลูกฝิ่น ผลการดำเนินงานประสบความสำเร็จจนชาวไทยภูเขาเรียกพระองค์และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า "เจ้าพ่อหลวงและเจ้าแม่หลวง" อาจกล่าวได้ว่า ความสำเร็จของวิธีการดังกล่าวนี้นอกจากจะมีผลต่อเรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมากแล้ว ยังมีผลต่อความมั่นคงของชาติอีกทางหนึ่งด้วย
โครงการพัฒนาด้านการเกษตรตามพระราชดำรินั้น
ประกอบด้วยงานหลายประเภท ซึ่งโดยทั่วๆ ไปแล้ว จะเป็นงานที่เกี่ยวกับการศึกษา
ค้นคว้า ทดลอง วิจัย หาพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ต่างๆ ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่นั้นๆ
และนำผลสำเร็จจากการศึกษา ทดลองไปถ่ายทอดสู่ประชาชน นอกจากนั้น
ก็เป็นงานในด้านการฝึกอบรมให้เกษตรกรมีความรู้ในวิชาการเกษตรแผนใหม่ การทำปุ๋ยหมัก
ปุ๋ยคอก
รวมทั้งการส่งเสริมให้มีการถนอมอาหารและแปรรูปอาหารและการผลิตอาหารเพื่อโภชนาการด้วย
สรุป
โครงการอันเนื่องมากจากพระราชดำริในด้านการพัฒนาการเกษตรที่กระจายอยู่ทั่วประเทศนั้น
ได้ส่งผลโดยตรงต่อความกินดีอยู่ดีของเกษตรกรเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นโครงการที่มุ่งแก้ปัญหาหลักด้านการพัฒนาการเกษตร
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ทำให้เกษตรกรได้มีโอกาสมากขึ้นในการเข้าถึงแหล่งความรู้ในด้านเทคนิค
และวิชาการเกษตรสมัยใหม่ ซึ่งแต่เดิมเกษตรกรไม่เคยมีโอกาสเช่นนี้มาก่อน
รวมทั้งยังได้มีโอกาสเรียนรู้และเห็นตัวอย่างของความสำเร็จของการผลิตในพื้นที่ต่างๆ
และสามารถนำไปปรับใช้ในการเพาะปลูกของตนเองอย่างได้ผล
และความเจริญของเกษตรกรและภาคเกษตรกรรมนี้ มิใช่จุดหมายในตัวเอง
หากแต่ยังมีความหมายต่อความเจริญของภาคเศรษฐกิจแขนงอื่นและของประเทศชาติโดยส่วนรวม
อ้างอิงจากเว็ปไซต์ : http://www.rspg.or.th/special_articles/hm_king60/king_602-2.htm
จุดเริ่มต้นแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง
ผลจากการใช้แนวทางการพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัย
ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก่สังคมไทยอย่างมากในทุกด้าน
ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม สังคมและสิ่งแวดล้อม
อีกทั้งกระบวนการของความเปลี่ยนแปลงมีความสลับซับซ้อนจนยากที่จะอธิบายในเชิงสาเหตุและผลลัพธ์ได้
เพราะการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดต่างเป็นปัจจัยเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน
สำหรับผลของการพัฒนาในด้านบวกนั้น
ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความเจริญทางวัตถุ
และสาธารณูปโภคต่างๆ ระบบสื่อสารที่ทันสมัย
หรือการขยายปริมาณและกระจายการศึกษาอย่างทั่วถึงมากขึ้น
แต่ผลด้านบวกเหล่านี้ส่วนใหญ่กระจายไปถึงคนในชนบท หรือผู้ด้อยโอกาสในสังคมน้อย
แต่ว่า
กระบวนการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้เกิดผลลบติดตามมาด้วย เช่น
การขยายตัวของรัฐเข้าไปในชนบท ได้ส่งผลให้ชนบทเกิดความอ่อนแอในหลายด้าน
ทั้งการต้องพึ่งพิงตลาดและพ่อค้าคนกลางในการสั่งสินค้าทุน
ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ ระบบความสัมพันธ์แบบเครือญาติ
และการรวมกลุ่มกันตามประเพณีเพื่อการจัดการทรัพยากรที่เคยมีอยู่แต่เดิมแตกสลายลง
ภูมิความรู้ที่เคยใช้แก้ปัญหาและสั่งสมปรับเปลี่ยนกันมาถูกลืมเลือนและเริ่มสูญหายไป
สิ่งสำคัญ
ก็คือ ความพอเพียงในการดำรงชีวิต
ซึ่งเป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่ทำให้คนไทยสามารถพึ่งตนเอง
และดำเนินชีวิตไปได้อย่างมีศักดิ์ศรีภายใต้อำนาจและความมีอิสระในการกำหนดชะตาชีวิตของตนเอง
ความสามารถในการควบคุมและจัดการเพื่อให้ตนเองได้รับการสนองตอบต่อความต้องการต่างๆ
รวมทั้งความสามารถในการจัดการปัญหาต่างๆ ได้ด้วยตนเอง
ซึ่งทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นศักยภาพพื้นฐานที่คนไทยและสังคมไทยเคยมีอยู่แต่เดิม
ต้องถูกกระทบกระเทือน ซึ่งวิกฤตเศรษฐกิจจากปัญหาฟองสบู่และปัญหาความอ่อนแอของชนบท
รวมทั้งปัญหาอื่นๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนแต่เป็นข้อพิสูจน์และยืนยันปรากฎการณ์นี้ได้เป็นอย่างดี
พระราชดำริว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียง
“...การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป...” (๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๗)
“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานมานานกว่า ๓๐ ปี เป็นแนวคิดที่ตั้งอยู่บนรากฐานของวัฒนธรรมไทย เป็นแนวทางการพัฒนาที่ตั้งบนพื้นฐานของทางสายกลาง และความไม่ประมาท คำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันในตัวเอง ตลอดจนใช้ความรู้และคุณธรรม เป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ที่สำคัญจะต้องมี “สติ ปัญญา และความเพียร” ซึ่งจะนำไปสู่ “ความสุข” ในการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง
“...คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา จะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งที่สมัยใหม่ แต่เราอยู่พอมีพอกิน และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทย พออยู่พอกิน มีความสงบ และทำงานตั้งจิตอธิษฐานตั้งปณิธาน ในทางนี้ที่จะให้เมืองไทยอยู่แบบพออยู่พอกิน ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่างยอด แต่ว่ามีความพออยู่พอกิน มีความสงบ เปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ถ้าเรารักษาความพออยู่พอกินนี้ได้ เราก็จะยอดยิ่งยวดได้...” (๔ ธันวาคม ๒๕๑๗)
พระบรมราโชวาทนี้ ทรงเห็นว่าแนวทางการพัฒนาที่เน้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นหลักแต่เพียงอย่างเดียวอาจจะเกิดปัญหาได้ จึงทรงเน้นการมีพอกินพอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่ในเบื้องต้นก่อน เมื่อมีพื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควรแล้ว จึงสร้างความเจริญและฐานะทางเศรษฐกิจให้สูงขึ้น
ซึ่งหมายถึง
แทนที่จะเน้นการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมนำการพัฒนาประเทศ
ควรที่จะสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจพื้นฐานก่อน นั่นคือ
ทำให้ประชาชนในชนบทส่วนใหญ่พอมีพอกินก่อน
เป็นแนวทางการพัฒนาที่เน้นการกระจายรายได้
เพื่อสร้างพื้นฐานและความมั่นงคงทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ก่อนเน้นการพัฒนาในระดับสูงขึ้นไป ทรงเตือนเรื่องพออยู่พอกิน
ตั้งแต่ปี ๒๕๑๗ คือ เมื่อ ๓๐ กว่าปีที่แล้วแต่ทิศทางการพัฒนามิได้เปลี่ยนแปลง
“...เมื่อปี
๒๕๑๗ วันนั้นได้พูดถึงว่า เราควรปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมีพอกินนี้ก็แปลว่า
เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนมีพอมีพอกิน ก็ใช้ได้
ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดี
และประเทศไทยเวลานั้นก็เริ่มจะเป็นไม่พอมีพอกิน บางคนก็มีมาก บางคนก็ไม่มีเลย...”
(๔ ธันวาคม ๒๕๔๑)
เศรษฐกิจพอเพียง
“เศรษฐกิจพอเพียง”
เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชดำริชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า
๒๕ ปี ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ
และเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น
และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียง
เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ
ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ
ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ
เพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ
ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร
ต่อการกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในภายนอก ทั้งนี้
จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการต่างๆ
มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการ ทุกขั้นตอน และขณะเดียวกัน
จะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี
และนักธุรกิจในทุกระดับ ให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต
และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา
และความรอบคอบ
เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง
ทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี
ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง จึงประกอบด้วยคุณสมบัติ ดังนี้
๑. ความพอประมาณ หมายถึง
ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น
การผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ
๒. ความมีเหตุผล หมายถึง
การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ อย่างรอบคอบ
๓. ภูมิคุ้มกัน หมายถึง
การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น
โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต
โดยมี เงื่อนไข ของการตัดสินใจและดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียง ๒ ประการ ดังนี้
๑. เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วย
ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องรอบด้าน
ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน
เพื่อประกอบการวางแผนและความระมัดระวังในการปฏิบัติ
๒. เงื่อนไขคุณธรรม
ที่จะต้องเสริมสร้าง ประกอบด้วย มีความตระหนักใน คุณธรรม
มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต
พระราชดำรัสที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง
“...เศรษฐศาสตร์เป็นวิชาของเศรษฐกิจ
การที่ต้องใช้รถไถต้องไปซื้อ เราต้องใช้ต้องหาเงินมาสำหรับซื้อน้ำมันสำหรับรถไถ
เวลารถไถเก่าเราต้องยิ่งซ่อมแซม แต่เวลาใช้นั้นเราก็ต้องป้อนน้ำมันให้เป็นอาหาร
เสร็จแล้วมันคายควัน ควันเราสูดเข้าไปแล้วก็ปวดหัว
ส่วนควายเวลาเราใช้เราก็ต้องป้อนอาหาร ต้องให้หญ้าให้อาหารมันกิน
แต่ว่ามันคายออกมา ที่มันคายออกมาก็เป็นปุ๋ย
แล้วก็ใช้ได้สำหรับให้ที่ดินของเราไม่เสีย...”
พระราชดำรัส
เนื่องในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๙ พฤษภาคม
๒๕๒๙
“...เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย
เรามีพอสมควร พออยู่ได้ แต่ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก
เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมากก็จะมีแต่ถอยกลับ
ประเทศเหล่านั้นที่เป็นประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้า
จะมีแต่ถอยหลังและถอยหลังอย่างน่ากลัว แต่ถ้าเรามีการบริหารแบบเรียกว่าแบบคนจน
แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละคือเมตตากัน
จะอยู่ได้ตลอดไป...”
พระราชดำรัส
เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม
๒๕๓๔
“...ตามปกติคนเราชอบดูสถานการณ์ในทางดี
ที่เขาเรียกว่าเล็งผลเลิศ ก็เห็นว่าประเทศไทย เรานี่ก้าวหน้าดี
การเงินการอุตสาหกรรมการค้าดี มีกำไร อีกทางหนึ่งก็ต้องบอกว่าเรากำลังเสื่อมลงไปส่วนใหญ่
ทฤษฎีว่า ถ้ามีเงินเท่านั้นๆ มีการกู้เท่านั้นๆ หมายความว่าเศรษฐกิจก้าวหน้า
แล้วก็ประเทศก็เจริญมีหวังว่าจะเป็นมหาอำนาจ ขอโทษเลยต้องเตือนเขาว่า จริงตัวเลขดี
แต่ว่าถ้าเราไม่ระมัดระวังในความต้องการพื้นฐานของประชาชนนั้นไม่มีทาง...”
พระราชดำรัส
เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม
๒๕๓๖
“...เดี๋ยวนี้ประเทศไทยก็ยังอยู่ดีพอสมควร
ใช้คำว่า พอสมควร เพราะเดี๋ยวมีคนเห็นว่ามีคนจน คนเดือดร้อน จำนวนมากพอสมควร
แต่ใช้คำว่า พอสมควรนี้ หมายความว่าตามอัตตภาพ...”
พระราชดำรัส
เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม
๒๕๓๙
“...ที่เป็นห่วงนั้น
เพราะแม้ในเวลา ๒ ปี ที่เป็นปีกาญจนาภิเษกก็ได้เห็นสิ่งที่ทำให้เห็นได้ว่า
ประชาชนยังมีความเดือดร้อนมาก และมีสิ่งที่ควรจะแก้ไขและดำเนินการต่อไปทุกด้าน
มีภัยจากธรรมชาติกระหน่ำ ภัยธรรมชาตินี้เราคงสามารถที่จะบรรเทาได้หรือแก้ไขได้
เพียงแต่ว่าต้องใช้เวลาพอใช้ มีภัยที่มาจากจิตใจของคน ซึ่งก็แก้ไขได้เหมือนกัน
แต่ว่ายากกว่าภัยธรรมชาติ ธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งนอกกายเรา
แต่นิสัยใจคอของคนเป็นสิ่งที่อยู่ข้างใน
อันนี้ก็เป็นข้อหนึ่งที่อยากให้จัดการให้มีความเรียบร้อย แต่ก็ไม่หมดหวัง...”
พระราชดำรัส
เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม
๒๕๓๙
“...การจะเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ
สำคัญอยู่ที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกินนั้น หมายความว่า
อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตนเอง
ความพอเพียงนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกครอบครัวจะต้องผลิตอาหารของตัวเอง
จะต้องทอผ้าใส่เอง อย่างนั้นมันเกินไป แต่ว่าในหมู่บ้านหรือในอำเภอ
จะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บางสิ่งบางอย่างผลิตได้มากกว่าความต้องการก็ขายได้
แต่ขายในที่ไม่ห่างไกลเท่าไร ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก...”
พระราชดำรัส
เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม
๒๕๓๙.
“...เมื่อปี
๒๕๑๗ วันนั้นได้พูดถึงว่า เราควรปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมีพอกินนี้ก็แปลว่า
เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนมีพอมีพอกิน ก็ใช้ได้
ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดี
และประเทศไทยเวลานั้นก็เริ่มจะเป็นไม่พอมีพอกิน บางคนก็มีมาก บางคนก็ไม่มีเลย...”
พระราชดำรัส
เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม
๒๕๔๑
“...พอเพียง
มีความหมายกว้างขวางยิ่งกว่านี้อีก คือคำว่าพอ ก็พอเพียงนี้ก็พอแค่นั้นเอง
คนเราถ้าพอในความต้องการก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย
ถ้าประเทศใดมีความคิดอันนี้ มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ
ซื่อตรง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข พอเพียงนี้อาจจะมี
มีมากอาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น...”
พระราชดำรัส
เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม
๒๕๔๑
“...ไฟดับถ้ามีความจำเป็น
หากมีเศรษฐกิจพอเพียงแบบไม่เต็มที่ เรามีเครื่องปั่นไฟก็ใช้ปั่นไฟ
หรือถ้าขั้นโบราณกว่า มืดก็จุดเทียน คือมีทางที่จะแก้ปัญหาเสมอ
ฉะนั้นเศรษฐกิจพอเพียงก็มีเป็นขั้นๆ แต่จะบอกว่าเศรษฐกิจพอเพียงนี้
ให้พอเพียงเฉพาะตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์นี่เป็นสิ่งทำไม่ได้ จะต้องมีการแลกเปลี่ยน
ต้องมีการช่วยกัน ถ้ามีการช่วยกัน แลกเปลี่ยนกัน ก็ไม่ใช่พอเพียงแล้ว
แต่ว่าพอเพียงในทฤษฎีในหลวงนี้ คือให้สามารถที่จะดำเนินงานได้...”
พระราชดำรัส
เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๒๓ ธันวาคม
๒๕๔๒
“...โครงการต่างๆ
หรือเศรษฐกิจที่ใหญ่ ต้องมีความสอดคล้องกันดีที่ไม่ใช่เหมือนทฤษฎีใหม่
ที่ใช้ที่ดินเพียง ๑๕ ไร่ และสามารถที่จะปลูกข้าวพอกิน กิจการนี้ใหญ่กว่า
แต่ก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน คนไม่เข้าใจว่ากิจการใหญ่ๆ
เหมือนสร้างเขื่อนป่าสักก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน
เขานึกว่าเป็นเศรษฐกิจสมัยใหม่ เป็นเศรษฐกิจที่ห่างไกลจากเศรษฐกิจพอเพียง
แต่ที่จริงแล้ว เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน...”
พระราชดำรัส
เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๒๓ ธันวาคม
๒๕๔๒
“...ฉันพูดเศรษฐกิจพอเพียงความหมายคือ
ทำอะไรให้เหมาะสมกับฐานะของตัวเอง คือทำจากรายได้ ๒๐๐-๓๐๐ บาท ขึ้นไปเป็นสองหมื่น
สามหมื่นบาท คนชอบเอาคำพูดของฉัน เศรษฐกิจพอเพียงไปพูดกันเลอะเทอะ เศรษฐกิจพอเพียง
คือทำเป็น Self-Sufficiency มันไม่ใช่ความหมายไม่ใช่แบบที่ฉันคิด
ที่ฉันคิดคือเป็น Self-Sufficiency of Economy เช่น
ถ้าเขาต้องการดูทีวี ก็ควรให้เขามีดู ไม่ใช่ไปจำกัดเขาไม่ให้ซื้อทีวีดู
เขาต้องการดูเพื่อความสนุกสนาน ในหมู่บ้านไกลๆ ที่ฉันไป เขามีทีวีดูแต่ใช้แบตเตอรี่
เขาไม่มีไฟฟ้า แต่ถ้า Sufficiency นั้น มีทีวีเขาฟุ่มเฟือย
เปรียบเสมือนคนไม่มีสตางค์ไปตัดสูทใส่ และยังใส่เนคไทเวอร์ซาเช่ อันนี้ก็เกินไป...”
พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล
๑๗ มกราคม ๒๕๔๔
ประเทศไทยกับเศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียง มุ่งเน้นให้ผู้ผลิต
หรือผู้บริโภค พยายามเริ่มต้นผลิต หรือบริโภคภายใต้ขอบเขต ข้อจำกัดของรายได้
หรือทรัพยากรที่มีอยู่ไปก่อน ซึ่งก็คือ หลักในการลดการพึ่งพา
เพิ่มขีดความสามารถในการควบคุมการผลิตได้ด้วยตนเอง
และลดภาวะการเสี่ยงจากการไม่สามารถควบคุมระบบตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เศรษฐกิจพอเพียงมิใช่หมายความถึง
การกระเบียดกระเสียนจนเกินสมควร หากแต่อาจฟุ่มเฟือยได้เป็นครั้งคราวตามอัตภาพ
แต่คนส่วนใหญ่ของประเทศ มักใช้จ่ายเกินตัว เกินฐานะที่หามาได้
เศรษฐกิจพอเพียง
สามารถนำไปสู่เป้าหมายของการสร้างความมั่นคงในทางเศรษฐกิจได้ เช่น โดยพื้นฐานแล้ว
ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม เศรษฐกิจของประเทศจึงควรเน้นที่เศรษฐกิจการเกษตร
เน้นความมั่นคงทางอาหาร เป็นการสร้างความมั่นคงให้เป็นระบบเศรษฐกิจในระดับหนึ่ง
จึงเป็นระบบเศรษฐกิจที่ช่วยลดความเสี่ยง หรือความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาวได้ศรษฐกิจพอเพียง
สามารถประยุกต์ใช้ได้ในทุกระดับ ทุกสาขา ทุกภาคของเศรษฐกิจ
ไม่จำเป็นจะต้องจำกัดเฉพาะแต่ภาคการเกษตร หรือภาคชนบท แม้แต่ภาคการเงิน
ภาคอสังหาริมทรัพย์ และการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ
โดยมีหลักการที่คล้ายคลึงกันคือ
เน้นการเลือกปฏิบัติอย่างพอประมาณ มีเหตุมีผล
และสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ตนเองและสังคม
การดำเนินชีวิตตามแนวพระราชดำริพอเพียง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงเข้าใจถึงสภาพสังคมไทย ดังนั้น เมื่อได้พระราชทานแนวพระราชดำริ
หรือพระบรมราโชวาทในด้านต่างๆ จะทรงคำนึงถึงวิถีชีวิต สภาพสังคมของประชาชนด้วย
เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งทางความคิด ที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งในทางปฏิบัติได้
แนวพระราชดำริในการดำเนินชีวิตแบบพอเพียง
๑. ยึดความประหยัด
ตัดทอนค่าใช้จ่ายในทุกด้าน ลดละความฟุ่มเฟือยในการใช้ชีวิต
๒.
ยึดถือการประกอบอาชีพด้วยความถูกต้อง ซื่อสัตย์สุจริต
๓.
ละเลิกการแก่งแย่งผลประโยชน์และแข่งขันกันในทางการค้าแบบต่อสู้กันอย่างรุนแรง
๔. ไม่หยุดนิ่งที่จะหาทางให้ชีวิตหลุดพ้นจากความทุกข์ยาก
ด้วยการขวนขวายใฝ่หาความรู้ให้มีรายได้เพิ่มพูนขึ้น
จนถึงขั้นพอเพียงเป็นเป้าหมายสำคัญ
๕. ปฏิบัติตนในแนวทางที่ดี
ลดละสิ่งชั่ว ประพฤติตนตามหลักศาสนา
ตัวอย่างเศรษฐกิจพอเพียง
ทฤษฎีใหม่
ทฤษฎีใหม่
คือ ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของการประยุกต์ใช้เศรษฐกิจพอเพียงที่เด่นชัดที่สุด
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำรินี้
เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรที่มักประสบปัญหาทั้งภัยธรรมชาติและปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบต่อการทำการเกษตร
ให้สามารถผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤต โดยเฉพาะการขาดแคลนน้ำได้โดยไม่เดือดร้อนและยากลำบากนัก
ความเสี่ยงที่เกษตรกร
มักพบเป็นประจำ ประกอบด้วย
๑. ความเสี่ยงด้านราคาสินค้าเกษตร
๒.
ความเสี่ยงในราคาและการพึ่งพาปัจจัยการผลิตสมัยใหม่จากต่างประเทศ
๓. ความเสี่ยงด้านน้ำ ฝนทิ้งช่วง ฝนแล้ง
๔. ภัยธรรมชาติอื่นๆ และโรคระบาด
๕. ความเสี่ยงด้านแบบแผนการผลิต
- ความเสี่ยงด้านโรคและศัตรูพืช
- ความเสี่ยงด้านการขาดแคลนแรงงาน
- ความเสี่ยงด้านหนี้สินและการสูญเสียที่ดิน
ทฤษฎีใหม่
จึงเป็นแนวทางหรือหลักการในการบริหารการจัดการที่ดินและน้ำ เพื่อการเกษตรในที่ดินขนาดเล็กให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ความสำคัญของทฤษฎีใหม่
๑.
มีการบริหารและจัดแบ่งที่ดินแปลงเล็กออกเป็นสัดส่วนที่ชัดเจน
เพื่อประโยชน์สูงสุดของเกษตรกร ซึ่งไม่เคยมีใครคิดมาก่อน
๒.
มีการคำนวณโดยใช้หลักวิชาการเกี่ยวกับปริมาณน้ำที่จะกักเก็บให้พอเพียงต่อการเพาะปลูกได้อย่างเหมาะสมตลอดปี
๓.
มีการวางแผนที่สมบูรณ์แบบสำหรับเกษตรกรรายย่อย โดยมีถึง ๓ ขั้นตอน
ทฤษฎีใหม่ขั้นต้น
ให้แบ่งพื้นที่ออกเป็น ๔
ส่วน ตามอัตราส่วน ๓๐:๓๐:๓๐:๑๐ ซึ่งหมายถึง
พื้นที่ส่วนที่หนึ่ง
ประมาณ ๓๐% ให้ขุดสระเก็บกักน้ำเพื่อใช้เก็บกักน้ำฝนในฤดูฝน
และใช้เสริมการปลูกพืชในฤดูแล้ง ตลอดจนการเลี้ยงสัตว์และพืชน้ำต่างๆ
พื้นที่ส่วนที่สอง
ประมาณ ๓๐%
ให้ปลูกข้าวในฤดูฝนเพื่อใช้เป็นอาหารประจำวันสำหรับครอบครัวให้เพียงพอตลอดปี
เพื่อตัดค่าใช้จ่ายและสามารถพึ่งตนเองได้
พื้นที่ส่วนที่สาม
ประมาณ ๓๐% ให้ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพร ฯลฯ
เพื่อใช้เป็นอาหารประจำวัน หากเหลือบริโภคก็นำไปจำหน่าย
พื้นที่ส่วนที่สี่
ประมาณ ๑๐% เป็นที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์ ถนนหนทาง และโรงเรือนอื่นๆ
ทฤษฎีใหม่ขั้นที่สอง
เมื่อเกษตรกรเข้าใจในหลักการและได้ปฏิบัติในที่ดินของตนจนได้ผลแล้ว
ก็ต้องเริ่มขั้นที่สอง คือให้เกษตรกรรวมพลังกันในรูป กลุ่ม หรือ สหกรณ์
ร่วมแรงร่วมใจกันดำเนินการในด้าน
(๑)
การผลิต (พันธุ์พืช เตรียมดิน ชลประทาน ฯลฯ)
- เกษตรกรจะต้องร่วมมือในการผลิต
โดยเริ่ม ตั้งแต่ขั้นเตรียมดิน การหาพันธุ์พืช ปุ๋ย การจัดหาน้ำ และอื่นๆ
เพื่อการเพาะปลูก
(๒)
การตลาด (ลานตากข้าว ยุ้ง เครื่องสีข้าว การจำหน่ายผลผลิต)
- เมื่อมีผลผลิตแล้ว
จะต้องเตรียมการต่างๆ เพื่อการขายผลผลิตให้ได้ประโยชน์สูงสุด เช่น
การเตรียมลานตากข้าวร่วมกัน การจัดหายุ้งรวบรวมข้าว เตรียมหาเครื่องสีข้าว
ตลอดจนการรวมกันขายผลผลิตให้ได้ราคาดีและลดค่าใช้จ่ายลงด้วย
(๓)
การเป็นอยู่ (กะปิ น้ำปลา อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ฯลฯ)
- ในขณะเดียวกันเกษตรกรต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีพอสมควร
โดยมีปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต เช่น อาหารการกินต่างๆ กะปิ น้ำปลา เสื้อผ้า
ที่พอเพียง
(๔)
สวัสดิการ (สาธารณสุข เงินกู้)
- แต่ละชุมชนควรมีสวัสดิภาพและบริการที่จำเป็น
เช่น มีสถานีอนามัยเมื่อยามป่วยไข้
หรือมีกองทุนไว้กู้ยืมเพื่อประโยชน์ในกิจกรรมต่างๆ ของชุมชน
(๕)
การศึกษา (โรงเรียน ทุนการศึกษา)
- ชุมชนควรมีบทบาทในการส่งเสริมการศึกษา
เช่น มีกองทุนเพื่อการศึกษาเล่าเรียนให้แก่เยาวชนของชมชนเอง
(๖)
สังคมและศาสนา
- ชุมชนควรเป็นที่รวมในการพัฒนาสังคมและจิตใจ
โดยมีศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยว
โดยกิจกรรมทั้งหมดดังกล่าวข้างต้น
จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าส่วนราชการ องค์กรเอกชน
ตลอดจนสมาชิกในชุมชนนั้นเป็นสำคัญ
ทฤษฎีใหม่ขั้นที่สาม
เมื่อดำเนินการผ่านพ้นขั้นที่สองแล้ว เกษตรกร
หรือกลุ่มเกษตรกรก็ควรพัฒนาก้าวหน้าไปสู่ขั้นที่สามต่อไป คือติดต่อประสานงาน
เพื่อจัดหาทุน หรือแหล่งเงิน เช่น ธนาคาร หรือบริษัท ห้างร้านเอกชน
มาช่วยในการลงทุนและพัฒนาคุณภาพชีวิต
ทั้งนี้
ทั้งฝ่ายเกษตรกรและฝ่ายธนาคาร หรือบริษัทเอกชนจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน กล่าวคือ
- เกษตรกรขายข้าวได้ราคาสูง
(ไม่ถูกกดราคา)
- ธนาคารหรือบริษัทเอกชนสามารถซื้อข้าวบริโภคในราคาต่ำ
(ซื้อข้าวเปลือกตรงจากเกษตรกรและมาสีเอง)
- เกษตรกรซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคได้ในราคาต่ำ
เพราะรวมกันซื้อเป็นจำนวนมาก (เป็นร้านสหกรณ์ราคาขายส่ง)
- ธนาคารหรือบริษัทเอกชน
จะสามารถกระจายบุคลากร เพื่อไปดำเนินการในกิจกรรมต่างๆ ให้เกิดผลดียิ่งขึ้น
หลักการและแนวทางสำคัญ
๑.
เป็นระบบการผลิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงที่เกษตรกรสามารถเลี้ยงตัวเองได้ในระดับที่ประหยัดก่อน
ทั้งนี้ ชุมชนต้องมีความสามัคคี
ร่วมมือร่วมใจในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันทำนองเดียวกับการ “ลงแขก” แบบดั้งเดิมเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงานด้วย
๒. เนื่องจากข้าวเป็นปัจจัยหลักที่ทุกครัวเรือนจะต้องบริโภค
ดังนั้น จึงประมาณว่าครอบครัวหนึ่งทำนาประมาณ ๕ ไร่ จะทำให้มีข้าวพอกินตลอดปี
โดยไม่ต้องซื้อหาในราคาแพง เพื่อยึดหลักพึ่งตนเองได้อย่างมีอิสรภาพ
๓.
ต้องมีน้ำเพื่อการเพาะปลูกสำรองไว้ใช้ในฤดูแล้ง หรือระยะฝนทิ้งช่วงได้อย่างพอเพียง
ดังนั้น จึงจำเป็นต้องกันที่ดินส่วนหนึ่งไว้ขุดสระน้ำ
โดยมีหลักว่าต้องมีน้ำเพียงพอที่จะเพาะปลูกได้ตลอดปี ทั้งนี้
ได้พระราชทานพระราชดำริเป็นแนวทางว่า ต้องมีน้ำ ๑,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร ต่อการเพาะปลูก ๑ ไร่ โดยประมาณ ฉะนั้น เมื่อทำนา ๕ ไร่
ทำพืชไร่ หรือไม้ผลอีก ๕ ไร่ (รวมเป็น ๑๐ ไร่) จะต้องมีน้ำ ๑๐,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตรต่อปี
ดังนั้น
หากตั้งสมมติฐานว่า มีพื้นที่ ๕ ไร่ ก็จะสามารถกำหนดสูตรคร่าวๆ ว่า แต่ละแปลง
ประกอบด้วย
- นาข้าว
๕ ไร่
- พืชไร่
พืชสวน ๕ ไร่
- สระน้ำ ๓ ไร่ ขุดลึก ๔
เมตร จุน้ำได้ประมาณ ๑๙,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร
ซึ่งเป็นปริมาณน้ำที่เพียงพอที่จะสำรองไว้ใช้ยามฤดูแล้ง
- ที่อยู่อาศัยและอื่นๆ
๒ ไร่
รวมทั้งหมด ๑๕ ไร่
แต่ทั้งนี้
ขนาดของสระเก็บน้ำขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศและสภาพแวดล้อม ดังนี้
- ถ้าเป็นพื้นที่ทำการเกษตรอาศัยน้ำฝน
สระน้ำควรมีลักษณะลึก เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำระเหยได้มากเกินไป
ซึ่งจะทำให้มีน้ำใช้ตลอดทั้งปี
- ถ้าเป็นพื้นที่ทำการเกษตรในเขตชลประทาน
สระน้ำอาจมีลักษณะลึก หรือตื้น และแคบ หรือกว้างก็ได้ โดยพิจารณาตามความเหมาะสม
เพราะสามารถมีน้ำมาเติมอยู่เรื่อยๆ
การมีสระเก็บน้ำก็เพื่อให้เกษตรกรมีน้ำใช้อย่างสม่ำเสมอทั้งปี (ทรงเรียกว่า
Regulator หมายถึงการควบคุมให้ดี
มีระบบน้ำหมุนเวียนใช้เพื่อการเกษตรได้โดยตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง)
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน้าแล้งและระยะฝนทิ้งช่วง แต่มิได้หมายความว่า
เกษตรกรจะสามารถปลูกข้าวนาปรังได้ เพราะหากน้ำในสระเก็บน้ำไม่พอ
ในกรณีมีเขื่อนอยู่บริเวณใกล้เคียงก็อาจจะต้องสูบน้ำมาจากเขื่อน
ซึ่งจะทำให้น้ำในเขื่อนหมดได้ แต่เกษตรกรควรทำนาในหน้าฝน และเมื่อถึงฤดูแล้ง
หรือฝนทิ้งช่วงให้เกษตรกรใช้น้ำที่เก็บตุนนั้น
ให้เกิดประโยชน์ทางการเกษตรอย่างสูงสุด โดยพิจารณาปลูกพืชให้เหมาะสมกับฤดูกาล
เพื่อจะได้มีผลผลิตอื่นๆ ไว้บริโภคและสามารถนำไปขายได้ตลอดทั้งปี
๔.
การจัดแบ่งแปลงที่ดินเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดนี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคำนวณและคำนึงจากอัตราการถือครองที่ดินถัวเฉลี่ยครัวเรือนละ
๑๕ ไร่ อย่างไรก็ตาม หากเกษตรกรมีพื้นที่ถือครองน้อยกว่านี้ หรือมากกว่านี้ ก็สามารถใช้อัตราส่วน
๓๐:๓๐:๓๐:๑๐ เป็นเกณฑ์ปรับใช้ได้ กล่าวคือ
ร้อยละ ๓๐
ส่วนแรก ขุดสระน้ำ (สามารถเลี้ยงปลา ปลูกพืชน้ำ เช่น ผักบุ้ง ผักกะเฉด ฯลฯ
ได้ด้วย)
บนสระอาจสร้างเล้าไก่และบนขอบสระน้ำอาจปลูกไม้ยืนต้นที่ไม่ใช้น้ำมากโดยรอบได้
ร้อยละ ๓๐
ส่วนที่สอง ทำนา
ร้อยละ ๓๐
ส่วนที่สาม ปลูกพืชไร่ พืชสวน (ไม้ผล ไม้ยืนต้น ไม้ใช้สอย ไม้เพื่อเป็นเชื้อฟืน
ไม้สร้างบ้าน พืชไร่ พืชผัก สมุนไพร เป็นต้น)
ร้อยละ ๑๐ สุดท้าย
เป็นที่อยู่อาศัยและอื่นๆ (ทางเดิน คันดิน กองฟาง ลานตาก กองปุ๋ยหมัก โรงเรือน
โรงเพาะเห็ด คอกสัตว์ ไม้ดอกไม้ประดับ พืชสวนครัวหลังบ้าน เป็นต้น)
อย่างไรก็ตาม
อัตราส่วนดังกล่าวเป็นสูตร หรือหลักการโดยประมาณเท่านั้น สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม
โดยขึ้นอยู่กับสภาพของพื้นที่ดิน ปริมาณน้ำฝน และสภาพแวดล้อม เช่น
ในกรณีภาคใต้ที่มีฝนตกชุก หรือพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำมาเติมสระได้ต่อเนื่อง
ก็อาจลดขนาดของบ่อ หรือสระเก็บน้ำให้เล็กลง
เพื่อเก็บพื้นที่ไว้ใช้ประโชน์อื่นต่อไปได้
๕.
การดำเนินการตามทฤษฎีใหม่ มีปัจจัยประกอบหลายประการ ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศ
สภาพแวดล้อมของแต่ละท้องถิ่น ดังนั้น เกษตรกรควรขอรับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ด้วย
และที่สำคัญ คือ ราคาการลงทุนค่อนข้างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขุดสระน้ำ
เกษตรกรจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากส่วนราชการ มูลนิธิ และเอกชน
๖.
ในระหว่างการขุดสระน้ำ จะมีดินที่ถูกขุดขึ้นมาจำนวนมาก หน้าดินซึ่งเป็นดินดี
ควรนำไปกองไว้ต่างหากเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการปลูกพืชต่างๆ ในภายหลัง
โดยนำมาเกลี่ยคลุมดินชั้นล่างที่เป็นดินไม่ดี หรืออาจนำมาถมทำขอบสระน้ำ
หรือยกร่องสำหรับปลูกไม้ผลก็จะได้ประโยชน์อีกทางหนึ่ง
ตัวอย่างพืชที่ควรปลูกและสัตว์ที่ควรเลี้ยง
ไม้ผลและผักยืนต้น : มะม่วง มะพร้าว
มะขาม ขนุน ละมุด ส้ม กล้วย น้อยหน่า มะละกอ กะท้อน แคบ้าน มะรุม สะเดา ขี้เหล็ก กระถิน
ฯลฯ
ผักล้มลุกและดอกไม้ : มันเทศ เผือก
ถั่วฝักยาว มะเขือ มะลิ ดาวเรือง บานไม่รู้โรย กุหลาบ รัก และซ่อนกลิ่น เป็นต้น
เห็ด : เห็ดนางฟ้า เห็ดฟาง
เห็ดเป๋าฮื้อ เป็นต้น
สมุนไพรและเครื่องเทศ : หมาก พลู
พริกไท บุก บัวบก มะเกลือ ชุมเห็ด หญ้าแฝก และพืชผักบางชนิด เช่น กะเพรา โหระพา
สะระแหน่ แมงลัก และตะไคร้ เป็นต้น
ไม้ใช้สอยและเชื้อเพลิง : ไผ่ มะพร้าว
ตาล กระถินณรงค์ มะขามเทศ สะแก ทองหลาง จามจุรี กระถิน สะเดา ขี้เหล็ก ประดู่
ชิงชัน และยางนา เป็นต้น
พืชไร่ : ข้าวโพด ถั่วเหลือง ถั่วลิสง
ถั่วพุ่ม ถั่วมะแฮะ อ้อย มันสำปะหลัง ละหุ่ง นุ่น เป็นต้น
พืชไร่หลายชนิดอาจเก็บเกี่ยวเมื่อผลผลิตยังสดอยู่ และจำหน่ายเป็นพืชประเภทผักได้
และมีราคาดีกว่าเก็บเมื่อแก่ ได้แก่ ข้าวโพด ถัวเหลือง ถั่วลิสง ถั่วพุ่ม
ถั่วมะแฮะ อ้อย และมันสำปะหลัง
พืชบำรุงดินและพืชคลุมดิน : ถั่วมะแฮะ
ถั่วฮามาต้า โสนแอฟริกัน โสนพื้นเมือง ปอเทือง ถั่วพร้า ขี้เหล็ก กระถิน
รวมทั้งถั่วเขียวและถั่วพุ่ม เป็นต้น
และเมื่อเก็บเกี่ยวแล้วไถกลบลงไปเพื่อบำรุงดินได้
หมายเหตุ :
พืชหลายชนิดใช้ทำประโยชน์ได้มากกว่าหนึ่งชนิด
และการเลือกปลูกพืชควรเน้นพืชยืนต้นด้วย เพราะการดูแลรักษาในระยะหลังจะลดน้อยลง
มีผลผลิตทยอยออกตลอดปี ควรเลือกพืชยืนต้นชนิดต่างๆ กัน
ให้ความร่มเย็นและชุ่มชื้นกับที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อม
และควรเลือกต้นไม้ให้สอดคล้องกับสภาพของพื้นที่ เช่น
ไม่ควรปลูกยูคาลิปตัสบริเวณขอบสระ ควรเป็นไม้ผลแทน เป็นต้น
สัตว์เลี้ยงอื่นๆ ได้แก่
สัตว์น้ำ : ปลาไน ปลานิล
ปลาตะเพียนขาว ปลาดุก เพื่อเป็นอาหารเสริมประเภทโปรตีน
และยังสามารถนำไปจำหน่ายเป็นรายได้เสริมได้อีกด้วย ในบางพื้นที่สามารถเลี้ยงกบได้
สุกร หรือ ไก่
เลี้ยงบนขอบสระน้ำ ทั้งนี้ มูลสุกรและไก่สามารถนำมาเป็นอาหารปลา
บางแห่งอาจเลี้ยงเป็ดได้
ประโยชน์ของทฤษฎีใหม่
๑.
ให้ประชาชนพออยู่พอกินสมควรแก่อัตภาพในระดับที่ประหยัด ไม่อดอยาก
และเลี้ยงตนเองได้ตามหลักปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง”
๒. ในหน้าแล้งมีน้ำน้อย
ก็สามารถเอาน้ำที่เก็บไว้ในสระมาปลูกพืชผักต่างๆ ที่ใช้น้ำน้อยได้
โดยไม่ต้องเบียดเบียนชลประทาน
๓.
ในปีที่ฝนตกตามฤดูกาลโดยมีน้ำดีตลอดปี
ทฤษฎีใหม่นี้สามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรได้โดยไม่เดือดร้อนในเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ
๔. ในกรณีที่เกิดอุทกภัย
เกษตรกรสามารถที่จะฟื้นตัวและช่วยตัวเองได้ในระดับหนึ่ง
โดยทางราชการไม่ต้องช่วยเหลือมากนัก ซึ่งเป็นการประหยัดงบประมาณด้วย
ทฤษฎีใหม่ที่สมบูรณ์
ทฤษฎีใหม่ที่ดำเนินการโดยอาศัยแหล่งน้ำธรรมชาติ
น้ำฝน จะอยู่ในลักษณะ “หมิ่นเหม่” เพราะหากปีใดฝนน้อย น้ำอาจจะไม่เพียงพอ ฉะนั้น การที่จะทำให้ทฤษฎีใหม่สมบูรณ์ได้นั้น
จำเป็นต้องมีสระเก็บกักน้ำที่มีประสิทธิภาพและเต็มความสามารถ
โดยการมีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่สามารถเพิ่มเติมน้ำในสระเก็บกักน้ำให้เต็มอยู่เสมอ
ดังเช่น
กรณีของการทดลองที่โครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณวัดมงคลชัยพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
จังหวัดสระบุรี
ระบบทฤษฎีใหม่ที่สมบูรณ์
อ่างใหญ่ เติมอ่างเล็ก อ่างเล็ก
เติมสระน้ำ
จากภาพ
วงกลมเล็ก คือสระน้ำที่เกษตรกรขุดขึ้นตามทฤษฎีใหม่
เมื่อเกิดช่วงขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง เกษตรกรสามารถสูบน้ำมาใช้ประโยชน์ได้
และหากน้ำในสระน้ำไม่เพียงพอก็ขอรับน้ำจากอ่างห้วยหินขาว (อ่างเล็ก)
ซึ่งได้ทำระบบส่งน้ำเชื่อมต่อทางท่อลงมายังสระน้ำที่ได้ขุดไว้ในแต่ละแปลง
ซึ่งจะช่วยให้สามารถมีน้ำใช้ตลอดปี
กรณีที่เกษตรกรใช้น้ำกันมาก
อ่างห้วยหินขาว (อ่างเล็ก) ก็อาจมีปริมาณน้ำไม่เพียงพอ
ก็สามารถใช้วิธีการผันน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ (อ่างใหญ่)
ต่อลงมายังอ่างเก็บน้ำห้วยหินขาว (อ่างเล็ก)
ก็จะช่วยให้มีปริมาณน้ำมาเติมในสระของเกษตรกรพอตลอดทั้งปีโดยไม่ต้องเสี่ยง
ระบบการจัดการทรัพยากรน้ำตามแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
สามารถทำให้การใช้น้ำมีประสิทธิภาพอย่างสูงสุด จากระบบส่งท่อเปิดผ่านไปตามแปลงไร่นาต่างๆ
ถึง ๓-๕ เท่า เพราะยามหน้าฝน นอกจากจะมีน้ำในอ่างเก็บน้ำแล้ว
ยังมีน้ำในสระของราษฎรเก็บไว้พร้อมกันด้วย ทำให้มีปริมาณน้ำเพิ่มอย่างมหาศาล
น้ำในอ่างที่ต่อมาสู่สระจะทำหน้าที่เป็นแหล่งน้ำสำรอง คอยเติมเท่านั้นเอง
แปลงสาธิตทฤษฎีใหม่ของมูลนิธิชัยพัฒนา
ท่านที่สนใจสามารถขอคำปรึกษาและเยี่ยมชมแปลงสาธิตทฤษฎีใหม่ได้
ดังนี้
๑. สำนักบริหารโครงการ
สำนักงานมูลนิธิชัยพัฒนา
โทรศัพท์ ๐ ๒๒๘๒ ๔๔๒๕ โทรสาร ๐ ๒๒๘๒ ๓๓๔๑
๒.
โครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณวัดมงคลชัยพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดสระบุรี
โทรศัพท์ / โทรสาร ๐ ๓๖๔๙ ๙๑๘๑
๓.
โครงการแปลงสาธิตการเกษตรแบบผสมผสานตามแนวพระราชดำริ (ทฤษฎีใหม่) อำเภอปากท่อ
จังหวัดราชบุรี
โทรศัพท์ / โทรสาร ๐ ๓๒๓๓ ๗๔๐๗
๔. โครงการสวนสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี
โทรศัพท์ / โทรสาร ๐ ๓๒๕๙ ๔๐๖๗
๕. โครงการสาธิตทฤษฎีใหม่ อำเภอเขาวง
จังหวัดกาฬสินธุ์
โทรศัพท์ / โทรสาร ๐ ๔๓๘๕ ๙๐๘๙
๖.โครงการสาธิตทฤษฎีใหม่
อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา
โทรศัพท์ / โทรสาร ๐ ๔๔๓๒ ๕๐๔
อ้างอิงจากเว็ปไซต์ : http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/porpeing.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น